วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำถามแนะแนวการศึกษา จากนักเรียน ม.5 แห่งหนึ่ง

ปัญหาน่าจะได้รับการแนะแนวการศึกษา จากเว็ปพันธุ์ทิพย์ 21 ส.ค.2554
*********************************************************
ได้อ่านเรื่องนี้แล้วจึงอยากนำมาลงไว้ เผื่อนักเรียนผดุงปัญญาที่มีแนวปัญหา
กับการเรียนแบบนี้ จะได้ใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจอีกทางเลือกหนึ่ง
*********************************************************
เรื่อง : ผมสับสนกับอนาคตตัวเอง ช่วยผมทีนะครับ    
คำถาม :
ผมต้องขอเกริ่นก่อนว่ากว่าจะมาตั้งกระทู้นี้ได้ ก็คิดไว้นานแล้วเหมือนกันว่าจะปรึกษาใครดี
ได้โปรดอ่านให้จบนะครับเรื่องมีอยู่ว่า
ตอนนี้ผมอยู่ม.5 แล้วครับ เรียนอยู่รร.ประจำจังหวัด เป็นเด็กสายวิทย์ห้องโอลิมปิก
(คือห้องต้นๆนั่นเอง ผมอยู่ห้อง 2) ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วครับ
อาจารย์ที่สอน พ่อแม่ หรืออาจารย์ติวเตอร์ก็แนะนำให้เริ่มอ่านหนังสือได้แล้ว และกำลังใจใน
การอ่านหนังสือก็มีมานานแล้วด้วย แต่ผมจะเริ่มอ่านได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต
ที่แน่นอนเลย ผมกำลังสับสนว่าตัวเองอยากเป็นอะไรกันแน่
ผมจะแบ่งเป็นอาชีพที่คิดว่าอยากเป็น ให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะครับ
====>>    1.หมอ
เป็นอาชีพที่เคยคิดอยากจะเป็นแต่เด็ก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบจริงหรือเปล่า ทำให้เมื่อตอนม.4
ผมได้สมัครค่ายแพทย์ของวชิระ เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง คืนก่อนวันสุดท้ายมันจะมีพิธีผูกด้ายของพี่ให้น้อง
ซึ่งผมจะต้องวนจนเจอพี่เกือบทุกคน แล้วพี่แต่ละคนก็ถามประมาณว่า
"เป็นไง หลังจากเข้าค่ายแล้ว น้องยังอยากเป็นหมออีกหรือเปล่า?"
ตอนนั้นผมก็ตอบอย่างมั่นใจว่า
"อยากครับ อยากมาเป็นรุ่นน้องพี่ๆด้วย"
เพราะระหว่างที่เข้าค่ายนั้น ผมเห็นพี่ๆทุกคนเป็นกันเอง เรียนก็ช่วยกันเรียน บางครั้งก็รั่วสุดๆ
ไม่ค่อยดูจะเครียดเหมือนที่ตัวเองคิดไว้เลย ทำให้ตอนนั้นผมอยากจะเป็นหมอมากขึ้นโดยทันที
แต่แล้ว มีวันหนึ่งที่ผมลองมานั่ง search เรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการเรียนหมอ บวกกับคำพูดของอาจารย์
หลายท่าน และความคิดส่วนหนึ่งของผม มากมายว่า
"เรียนหมอมันหนักนะ จบมาทำงานก็หนักอีก"
"ในเมื่อเราเรียนเก่งจริง ทำไมเราต้องเป็นหมอ ทำไมไม่เป็นอะไรที่จบมาสบายกว่าล่ะ"
"ในต่างประเทศคนเป็นหมอไม่ได้เก่งที่สุดนะ จะเป็นคนหัวระดับกลางๆ เศรษศาสตร์ต่างหาก
ที่เด็กเก่งเค้าเลือกกัน เมื่อไหร่หนอค่านิยมคนไทยที่ให้ลูกเรียนหมอจะหมดไปสักที"
อะไรประมาณนี้อ่ะครับ ซึ่งผมคิดว่ามันก็จริงหลายอย่าง ผมถามตัวเองหลายครั้งมากว่า
ถ้าตัวเองได้เรียนจริง จะเรียนไหวมั้ย จบมาจะเป็นแพทย์ที่ดีได้มั้ย?
คำตอบของผมก็คือ
ผมต้องเรียนผ่านไปได้อย่างแน่นอน ด้วยนิสัยที่มีความอดทนสูงของผมและไม่ปล่อยให้ตัวเองโง่
และคิดว่าจบมาจะเป็นแพทย์ที่ดีด้วย ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบช่วยเหลือคน พูดจาดี ไม่โมโหง่าย
และเคยคิดด้วยว่าถ้าทำงานแล้วจะไม่อยากเข้าเอกชนด้วยซ้ำ ไม่อยากหาเงินเพิ่มทางลัดอ่ะครับ
อยากจะอยู่รัฐบาล หรือถ้าไปอยู่ชุมชนก็ทำได้ เพราะอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดีครับ
แต่มันก็มีความคิดบางอย่างแทรกเข้ามาว่า ถ้าเกิดเราไปเที่ยวพักผ่อนอยู่หรือนอนอยู่ แล้วมีคนโทรมา
ให้ไปรักษาด่วน เราจะรับได้มั้ย หรืออุตส่าห์พากเพียรตั้งใจสอบให้ติดได้แล้ว จะได้สบายหน่อย
ทำไมต้องลำบากเรียนหมอให้เหนื่อยอีก จบมาก็ยังเหนื่อยอีก เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละอย่างมาก
อีกทั้งเงินเดือนที่ใครหลายคนคิดว่าเยอะ แต่ถ้าเอาเงินเดือนมาหารจำนวนเวลาทำงานทั้งหมด
ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้มากมายเลย เผลอๆ ครูบางคนเงินเดือนดีกว่าด้วยซ้ำ แบบผมชอบคิดว่า ในเมื่อเรา
เรียนมาหนักกว่าทำไมได้เงินเดือนไม่คุ้มค่าเท่าไหร่เลย(ถ้าไม่เปิดคลีนิก หรืออยู่เอกชนนะครับ)
ผมลืมบอกไปว่า ผมเป็นคนมีบุคลิก และนิสัย 2 อย่างในตัว คือ ไม่ใช่คนเครียดกับการเรียน
ไม่ได้เรียนเองอะไรมาก แต่จะไม่ปล่อยปะตัวเองให้โง่หรือเรียนไม่รู้เรื่อง เป็นคนที่ปรับตัวได้เร็ว
สบายๆ ง่ายๆ และที่สำคัญชอบดูหนังเอามากๆ ฟังเพลงหรือเต้นก็ด้วย ซึ่งไอ้นิสัยที่ตัวเองชอบ
ดูหนังมาก หนังมาเมื่อไหร่อยากดูก็เข้าโรงไปดูเลย ซึ่งผมตั้งใจว่าเข้ามหาลัยในกรุงเทพเมื่อไหร่
จะดูแหลกเลย หรือไม่ก็เช่าซีดีมาดูบ่อยๆ ที่หอ ซึ่งถ้าเรียนหมอผมจะมีเวลาขนาดนั้นเชียวหรอ ?
ต่อไปผมจะพูดถึงอาชีพที่คิดไว้ว่าอยากจะเป็นเหมือนกัน คือ
====>>  2.อาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษ
ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม เช่น บัญชี เศรษศาสตร์ อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น
====>>    บัญชี
นี่ผมว่าถ้าผมตั้งใจจะเข้าจริง ผมคิดว่าต้องเข้าได้แน่นอน เพราะวิชาหลักคือ คณิต และอังกฤษ
ซึ่งเป็นวิชาที่ชอบทั้งคู่ อีกอย่างเคยอ่านเจอว่าบัญชีเรียนแล้วไม่ตกงานเป็นอันดับ 1 แต่คิดว่า
ตัวเองจะก้าวหน้าแค่ไหน
====>>    เศรษฐศาสตร์
ก็ไม่เคยศึกษาว่าแต่ละปีเรียนอะไรบ้าง อีกอย่างเพิ่งอยากจะเป็นได้ไม่นาน เลยรู้สึกเอาชนะใจ
อย่างหมอไม่ได้
====>>    อักษร
นี่ได้ใช้ภาษาอังกฤษที่ตัวเองชอบอย่างจริงจัง ซึ่งยากแค่ไหน ผมก็คิดว่าต้องผ่านไปได้ด้วยดี
แน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะไปเป็นไร ถ้ามันไม่ดังเหมือนพี่แนน ครูสมศรีอ่ะครับ มาเป็นล่าม
นักเขียนก็คงไม่มั่นคงมั้งครับ(ผมคิด)
====>>    รัฐศาสตร์
นี่ อยากเข้าเพราะก็อยากเป็นทูต แต่เพื่อนบอกว่ามันต้องมีเส้นสายเยอะๆ ถึงจะก้าวหน้าได้เร็ว
(ไม่รู้จริงเปล่า) อีกอย่างถ้าได้ไปเป็นทูตต่างประเทศจริง วันๆนึงจะทำอะไรบ้าง ชีวิตจะสนุกไหม
อยากบอกว่าภาษาอังกฤษนี่เป็นวิชาที่ชอบมากที่สุดและ ถ้าเป็นหมอก็ได้ใช้นะเวลาอ่านพวก text
แต่มันไม่มันส์เท่าได้พูด ได้เขียน หรือได้เรียนกับชาวต่างชาติ อีกอย่างศัพท์ใน text ก็คงแบบ
วิชาการจ๋ามาเลย
เพื่อนสายวิทย์หลายคนในห้องผม ใจศิลป์ ก็เยอะนะครับ บางคนมั่นใจแล้วว่าจะเบนสายแน่ แต่ก็มีผม
และอีกบางคนไม่แน่นอน ผมก็เคยปรึกษาเพื่อนนะ ว่าอยากเรียนด้านภาษาว่ะ แต่มันก็คอยเตือนว่า
เราอุตส่าห์เรียนสายวิทย์มาแล้วนะ ซึ่งตัวผมเอง ผมว่าผมได้ทั้งวิทย์และศิลป์อ่ะครับ เลยทำให้คิดหนัก
ผมเคยปรึกษาพ่อแม่เหมือนกัน พ่อแม่ก็ถามว่าชอบอะไรที่สุดล่ะ ผมก็ตอบเสมอว่า
"ไม่รู้ มันอยากเป็นหลายอย่างไปหมด" แต่ลึกๆแล้วผมว่าแม่ผมคงอยากให้เป็นแพทย์ ไม่ก็เภสัชอ่ะครับ
ผมเคยคิดนะว่าถ้าเรียนแพทย์จนจบ แล้วมาเรียนพวกบัญชีต่อ แล้วถ้าเกิดชอบบัญชีขึ้นมา แล้วอยาก
ทำงานด้านบัญชี แล้วเวลาที่เสียไปกับการเรียนแพทย์ล่ะ ? มันไม่คุ้มค่าเลยนะ
ลึกๆ แล้วผมอยากเรียนต่อต่างประเทศมากที่สุดละ มากกว่าเรียนหมออีก เคยสอบติด AFS ตอนม.3
แล้วอยากไปมาก พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าถ้าอยากไปจริง รร.ผมก็ฮิตไปกันด้วย แต่กลับมาต้องเรียนซ้ำอีก 1 ปี
เนี่ยสิ ทำให้ไม่อยากไป เพราะจะตามเพื่อนไม่ทัน เลยเกิดความคิดว่าอยากเรียนระดับอุดมศึกษาที่
ต่างประเทศ ซึ่งมันก็มี ทุนก.พ.เนี่ยแหละ แต่ก็ยากซะเหลือเกิน ถ้าผมติดทุนก.พ.อะไรผมก็ไม่อยากเป็น
อีกแล้ว แค่ได้ไปเรียนต่างประเทศ แล้วกลับมาพัฒนาประเทศก็ดีใจที่สุดละครับ แต่ถ้าเป็นหมอเรียนจบมา
ผมก็ต้องใช้ทุน แล้วทำงานอีก ผมจะได้มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับคนอื่นมั้ยเนี่ย แม่ก็บอกนะ ว่าสอบ
ให้ติดก่อนเถอะ เวลาน่ะ เดี๋ยวมันก็ต้องมีอยู่แล้ว
====>>    สุดท้ายแล้ว ผมแพร่ม และเวิ่นเว้อมาเยอะมาก ก็ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ พี่ๆหน่อยครับว่า
ผมควรทำอย่างไรกับชีวิตข้างหน้าของผม ถ้าถามตัวเองตอนนี้อีกรอบก็ยังไม่มั่นใจ คงอยากเป็นหมอ 60-70%
ที่เหลือก็แบ่งให้คณะอื่นๆ ที่อยากเรียน ดังที่กล่าวไว้แล้วและขอขอบคุณที่เสียเวลามาอ่านเรื่องที่อาจจะ
ดูไร้สาระ แต่มันมีความหมายกับผม และขอบคุณสำหรับคำตอบด้วยครับ
จากคุณ : เด็กไทย 
*****************************************************************************
ความคิดเห็นที่ 1
ดูแล้วอยากเดินทางมากกว่าอยากเป็นหมอนะครับ ( คุณย้ำถึง 2 หน ลองกลับไปอ่านดีๆ )
แนะนำให้เรียนทางภาษาน่ะครับดีแล้ว จะตรงกับความต้องการของตัวเองมากกว่าครับ
จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51)  
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 17:32:28  
*****************************************************************************
ความคิดเห็นที่ 2   
คุณมีศักยภาพมากพอที่จะเรียนอะไรก็ได้ ไม่ต้องไปฟังคนอื่น สะดวกอย่างไหนก็เรียนอย่างนั้น
ไอ้เรื่องภาษาอังกฤษมันเป็นแค่เครื่องมือ อ่านเอาเองฟังเอาเองก็ได้ ถ้ารักถ้าชอบก็อ่านไป
ผมเรียนหมอก็ไม่ได้รักไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมว่าผมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรในฐานะ
ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์นี้ ก็ได้มีโอกาสทำประโยชน์ไม่น้อยหน้าใคร
ภาษาอังกฤษของผมก็ได้มาเพราะความมีฉันทะ ผมอยากอ่านอะไรผมก็อ่าน อยากฟังอะไรก็ฟัง
ทำไมอยาก? มันสนุก ผมไม่ได้คิดอยากจะเขียนจะพูดอะไรใหญ่โต แต่ว่าเมื่อโอกาสมาถึง
ทักษะที่สะสมไว้ก็นำมาใช้ได้เอง
เป็นแพทย์ก็ได้ เก่งอังกฤษก็ได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด    
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 17:56:00  
******************************************************************************
 ความคิดเห็นที่ 3   
เท่าที่วิเคราะห์ดูนะคะ
1 คุณอยากเป็นหมอ...คุณอยากช่วยคน อยากให้คนไทยมีสุขภาพดี แต่คุณก็เป็นห่วงเรื่องที่เวลา
คุณเรียนคุณอยากฟังเพลง เต้น ดูหนังแหลก..คุณคิดว่าตัวเองจะรับได้ไหมถ้าพักผ่อนชิลล์ๆ อยู่
แล้วถูกเรียกตัวด่วน คุณกังวลว่าเงินเดือนหมอก็อาจจะมาก แต่เมื่อมาหารจำนวนเวลาที่คุณทำงาน
มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เผลอๆ ครูยังได้เงินเดือนมากกว่าอีก...คุณคิดว่าทำไมเรียนมายากเย็น
และแพง ผลตอบแทนจึงดูได้ไม่คุ้มเท่าไหร่เลย
2 สาชาอื่นๆ เช่นบัญชี คุณว่าคุณเรียนได้ คิดว่าไม่ตกงาน แต่กังวลว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
3 อักษร คุณชอบว่าคุณชอบภาษามาก...แต่ไม่รู้ว่าจบมาจะทำอะไร กลัวไม่ดัง ไม่มีชื่อเสียงเท่า
พี่แนน เท่าครูสมศรี (บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จักค่ะ จะว่าหลังเขาก็ได้)
4 รัฐศาสตร์ เพราะอยากเป็นทูต...แต่กลัวเรื่องการใช้เส้น กลัวว่าจะไม่ก้าวหน้า กลัวว่าถึงอยู่
ต่างประเทศจะสนุกไหม วันๆ ต้องทำอะไรบ้าง
5 ที่สุดแล้วคุณบอกว่าอยากไปต่างประเทศมากที่สุด ถ้าติดกพ. อะไรก็ไม่อยากเป็นแล้ว...
และคุณยังกังวลส่งท้ายอีกว่าถ้าคุณเป็นหมอคุณต้องใช้ทุน
คุณจะมีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศหรือเปล่า
ต่อจากนี้คือการวิเคราะห์คร่าวๆ บางทีมันอาจจะไม่ถุกก็ได้ แต่มันก็เป็นอะไรที่คนอายุมากกว่าคุณ
สิบปีรู้สึกได้จากสิ่งที่คุณเขียน
คุณก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ยังรักสนุก ยังอยากเที่ยวเล่น อยากทำอะไรๆ ตามใจชอบ (อย่างดูหนังแหลก)
อยากไปต่างประเทศ อยากได้รับการยอมรับ...มันไม่ใช่สิ่งผิด คนทั่วไปเขาก็เป็นกัน
สิ่งที่คุณกังวลคือการเลือกสาขาที่เรียนซึ่งเป็นอะไรที่จะติดตัวคุณไปอีกหลายสิบปี
คุณต้องอยู่กับมันไปตลอด (ถ้าคุณไม่เบนเข็มเอากลางทางซะก่อน) เท่าที่มองดูอาชีพที่คุณเลือก
ไม่เห็นสักนิดว่าคุณจะมองความบกพร่องของคุณหรือของอาชีพที่คุณเลือกตามความเป็นจริงของมัน
คุณสนใจแต่เรื่องความก้าวหน้า เงินเดือน ความสะดวกสบาย โอกาสได้ไปต่างประเทศ...
คุณไม่ได้มองอาชีพแพทย์ว่า "โอ เราจะรับผิดชอบชีวิตคนไข้ได้ไหมนะ ความเป็นความตายของคน
ขึ้นอยู่กับเรา มันเต็มไปด้วยความเครียดนะ เสี่ยงต่อการถุกฟ้องร้องอีกต่างหาก"
หรือมองบัญชีว่า "ตายล่ะ ถ้าต้องดูแลระบบการเงิน ระบบบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน
เราจะถี่ถ้วนพอหรือเปล่า...มันเป็นงานนั่งโต๊ะที่น่าเบื่อนะ"
หรือมองอาชีพทูตว่า "ถ้าต้องระวังท่าทีตลอดเวลาและต้องรู้เท่าทันเกมการเมืองหรือสถานการณ์
ของประเทศที่ไปประจำเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของคนไทย และความสัมพันธ์ก็ไม่เสีย...
ถ้าที่นั่นมีสงครามกลางเมืองล่ะจะทำไง..ฯลฯ"
อยากได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ถ้าได้ไป อะไรที่พูดมาทั้งหมดนั่นก็ไม่อยากเป็นแล้ว...
คุณคิดว่าการไปเรียนต่อด้วยทุนกพ.เป็นทริปไปดิสนีแลนด์เหรอ แล้วคุณจะเรียนสาขาอะไร
กลับมาจะทำอะไร รู้ล่ะว่ากลับมาช่วยบ้านเมือง แต่คนที่เขาหวังทุนนี้ รู้ว่าจะเรียนอะไร เพื่ออะไร
และมีปณิธานแรงกล้าที่จะทำนั่นทำนี่ให้ประเทศเมื่อกลับมา สมควรได้รับโอกาสมากกว่าคุณหรือเปล่า
ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณเครียดกว่าเดิมหรือเปล่านะ แต่จำเป็นต้องพูดตรงๆ เพราะการเลือกของคุณ
จะส่งผลบางอย่างต่อประเทศของเราไม่มากก็น้อย คุณต้องตัดสินใจให้ดีๆ
ว่าคุณอยากเป็นอะไรกันแน่ ในเนื้อแท้ของอาชีพอะไรที่ตรงกับความเป็นคุณ...
สมมุติว่าคุณอยากเป็นหมอ (รู้สึกได้จากการที่คุณเขียนคำนี้หลายครั้ง) คุณก็เรียนไป
ตั้งใจเรียนให้เต็มที่ พัฒนาภาษาอังกฤษไปด้วย อยากฟังเพลงก็ฟัง ดูหนังก็ดู หมอก็คน
เขาไม่ได้มานั่งท่องตำรากันทั้งวันหรอก อยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็พยามเรียนให้ดี
เรียนจบก็ขอทุนไปเรียนต่อเฉพาะทางก็ได้ เมื่อนั้นคุณก็ได้เที่ยวเองนั่นแหละ...
แต่ถ้าไม่ได้ทุน ต่อให้เป็นหมอแล้วก็ได้ไปอยู่ดี เวลาถ้าจะหาให้ได้ มันก็มีอยู่แล้วแหละ...
แล้วก็ไม่แปลกถ้าคุณจะเบื่อการถูกเรียกตัวไปรักษาคนไข้ ยังไงคุณก็ปุถุชน
แต่แค่อย่ารู้สึกแบบนั้นบ่อยเกินไปก็พอ...
ส่วนเรื่องค่าตอบแทน...คุณคิดว่าการได้ช่วยชีวิตคนมันเป็นการตอบแทนที่ดีหรือเปล่า
หรือต่อให้คุณตัดสินใจเลือกอาชีพอื่น คุณไม่คิดเหรอว่าการที่คุณได้ทำลงมือทำงานอะไรเพื่อใคร
คุณก็มีค่าแล้ว ถ้าคุณดีจริง มีความรู้ ความสามารถสูง ค่าตอบแทนมันก็จะดีตามมาเองแหละ...
ลองคิดถึงคนที่เป็นตำรวจ,ทหารชายแดนสิ...
ถ้าคิดถึงความคุ้มค่าที่ตีเป็นตัวเงิน เขาไม่ร้องเรียกเงินกันเป็นล้าน/เดือนเหรอที่ต้องเสี่ยงชีวิต
แต่นี่เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำต่างหาก
คิดดีๆ ยังพอมีเวลา โชคดีแล้วที่คุณมีสมองดี พ่อแม่ก็ไม่บังคับ
เด็กหลายคน เขาไม่ได้มีทางเลือกอะไรมากมายเท่าคุณหรอกนะ
ไม่ได้ตำหนินะ...แต่เป็นห่วงอย่างจริงใจและรู้สึกดีที่อย่างน้อยๆ คุณก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง
ไม่ได้เดินตามๆ กันเหมือนแกะที่ถูกต้อนเข้าคอก
สู้ต่อไปละกัน ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้น
จากคุณ : kiria chalee  
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 19:42:47  

***********************************************************************
ความคิดเห็นที่ 4   
นอกจากอาชีพหมอ
ได้เคยไปหาข้อมูล หรือเข้าค่ายของคณะและอาชีพอื่นๆหรือเปล่า
เพราะอาจจะยังไม่ได้สัมผัสงานอาชีพอื่นๆ ของที่คณะอื่นๆเรียนยังไม่รู้ก็ได้นะ
อย่างอาชีพครู เงินเดือนก็ไม่เยอะนะ ถ้าเทียบกับงานที่ต้องรับผิดชอบจริงๆ
(ซึ่งจะตั้งใจทำกันจริงหรือไม่ให้สมทุนก็อีกเรื่อง) ที่สำคัญครูดังๆ ที่น้อง เจ้าของกระทู้ว่ามาเป็นครูสอนพิเศษ
เปิดโรงเรียนของตัวเอง ส่วนอาชีพครูจริงๆ เงินเดือนเริ่มต้นก็ไม่มาก น้อยกว่าหมอมากๆ งานก็เยอะ
มีเวรเหมือนๆกันกับแพทย์ ถูกเรียกกลางดึกก็ได้นะ เพียงแต่ไม่ต้องขึ้นกับชีวิตเป็นตายของคน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นคนเหมือนกัน
อาชีพอื่นๆ ก็ต้องศึกษา รู้สึกว่าคุณเฑียร ธรรมดา หรือสักชื่อที่เขียนหนังสือภาษาอังกฤษชื่อดัง
ก็ดูจะคล้ายๆที่น้องว่ามานะ คือเป็นนักเดินทางไปทั่วโลกอย่างใจ แล้วก็สั่งสมความรู้ภาษาอังกฤษ
มาเขียนหนังสือขายดี รู้สึกเขาก็เรียนนิติสายอื่นมาไม่ได้เรียนภาษา
ลองศึกษาอาชีพอื่นๆ แล้วตั้งใจอ่านหนังสือพร้อมสอบทุกสายก่อนดีไหม
ยังมีโอกาสศึกษาเรื่องอาชีพ
ออ สจ๊วตไง ได้เดินทาง ได้ภาษาด้วย
เงินเดือนดี เสี่ยงเวรเสี่ยงกะ ไม่เป็นเวลา แต่ก็คงไม่ต้องทำอาชีพนี้นานนี่ เห็นเลิกก่อนเกณฑ์เกษียณทั้งนั้น
สู้ๆจ้า
จากคุณ : ปาบู่ผู้พลิ้วไหวไปกับการนอน (PaBo)   
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 20:21:23  
***********************************************************************
ความคิดเห็นที่ 5   
ขอร่วมวงด้วยคนในเรื่องนี้
ก่อนอื่น ผมต้องบอกว่า ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณแอ็ดฯ ครับ กล่าวคือ
"ภาษาอังกฤษเป็นเพียงเครื่องมือ" ซึ่งจะเป็น value-added ของชีวิตการทำงานและ
ชีวิตประจำวันของ จขกท. ทั้งนี้ ไม่ว่าท่าน จขกท. จะเลือกเรียนต่อในสาขาใด สิ่งที่คุณต้องเจอ
ก็คือการ make the most of your decison! 
จากสิ่งที่ผมเจอและสิ่งที่ผมผ่านมา ผมขอบอกว่า ไม่ว่า จขกท. จะเลือกเรียนอะไร สึ่งที่สำคัญที่สุด
คือทัศนคติที่ จขกท. มีต่อสิ่งต่างๆ และไม่ว่าในอนาคต จขกท. จะทำอะไรภาษาอังกฤษก็จะเป็น
สิ่งที่ จขกท. จำเป็นต้องรู้ เพราะในสภาวะที่ประเทศต่างๆ เกี่ยวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษจะช่วยให้ จขกท. be different & make a difference.
เส้นทางของชีวิตไม่ได้เป็นเส้นทางที่ทอดตรงจากจุด ก. ไปจุด ข. แต่หากเป็นเส้นทางที่เต็มไป
ด้วยทางหลัก ทางรอง ทางด่วน ทางแยก ทางคด ทางเคี้ยว และในบางกรณีทางตัน ซึ่งทั้งหมดนี้
เป็นลักษณะของเส้นทางที่ทุกคนต้องเดินผ่าน ดังนั้นประเด็นสำคัญที่ผมว่าท่าน จขกท. จะต้องทำ
คือพยายามหาให้เจอคือทางเดินที่เป็นของตัวท่าน จขกท. เอง
อีกเรื่องที่ผมขอกล่าวถึง คือการสอบเพื่อรับทุนรัฐบาล จากประสบการณฺ์ส่วนตัวของผม
การรับทุนเปรียบเสมือนดาบสองคม กล่าวคือ การรับทุนและการไปเรียนต่างประเทศนั้นย่อมช่วย
เปิดโลกทัศน์และเพิ่มพูนประสบการณ์ของ จขกท. ซึ่งหาก จขกท. สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์
จากประสบการณ์ดังกล่าวได้ ย่อมเป็นผลดี ทั้งนี้ควบคู่กับประสบการณ์ จขกท. สิ่งที่คุณต้อง
คำนึงถึงคือ หลังการเรียน คุณสามารถรับได้กับระบบราชการที่คุณต้องกลับมาเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่
(แต่ตอนนี้การที่ ก.พ. จำกัดเวลาใช้ทุนไว้ที่ 10 ปีก็คงไม่แย่เกินไป เพราะส่วนตัวผมเองยังเหลือเวลา
ที่ต้องใช้ทุนอีก 13 ปีหลังจากที่รับราชการมาแล้ว 5 ปี)
ประการสุดท้าย ไม่ว่าท่าน จขกท. จะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม การเรียน ป. ตรี นั้น ไม่ได้หมายความว่า
ท่านจะไม่สามารถพัฒนาไปสู่อาชีพในอีกสาขาหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านเรียนในระดับ ป.ตรี
ดังนั้น ขอให้ จขกท. พยายามค้นหาให้เจอนะครับว่าแรงบันดาลใจของท่านคือสิ่งใด
และเมื่อท่านพบแล้วก็ขอให้ท่านก้าวไปข้างหน้าเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองต้องการนะครับ
ท้ายนี้ ขอให้โชคดีกับการเลือกก้าวต่อไปของท่าน
จากคุณ : Peking Man  
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 22:48:34  
***********************************************************************
ความคิดเห็นที่ 6   
ชอบภาษาอังกฤษเหรอครับ
ผมอยากให้คุณเป็นนักเขียน เช่นเดียวกับ ศาสตราจารย์  J. R. R. Tolkien
ผมอยากให้คุณเรียนปรัชญาและภาษาตะวันตก และสุดท้ายก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาตะวันตก
อย่างแตกฉาน และสามารถ แต่งมหากาพย์ เช่น  The lord of the ring
โดยฝีมือศาสตราจารย์ภาษาตะวันตก ที่เป็นคนไทยที่ชื่อ [ชื่อของคุณ] มหากาพย์ของคุณถูกแปล
หลายร้อยภาษาและถ่ายทอดเป็นภาพยนต์ที่ทำเงินมากที่สุดในโลก
ผมอยากเห็นแบบนี้นะครับ
จากคุณ : cheychai   
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 23:42:49  
***********************************************************************
ความคิดเห็นที่ 7  
หมอยังให้ลูกเป็นหมอเลยครับ บางคนเรียนเมืองไทยไม่ได้เขายังดั้นด้นไปเรียนถึงเมืองนอก
ถ้าเราชอบจะไปกลัวอะไร หมอทำงานหนักมั้ย ลำบากมั้ย คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คือหมอ
คนอาชีพอื่นจะรู้ดีเท่าเหรอครับ
จากคุณ : มดส้ม 
เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 10:33:51 A:110.171.151.51 X: TicketID:268427 
***********************************************************************
ความคิดเห็นที่ 8  
WOW! หมอแอ๊ด ปากเกร็ด ถึงว่าทำไมเก่งภาษาจังเลย
จากคุณ : มดส้ม 
**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น